Wednesday, 22 March 2023

ฟ้องศาล ปค.เอาผิด กกท.-กสทช.ถ่ายสด บอลโลก เอื้อค่ายมือถือดังแห่งเดียว

ตัวแทนภาคประชาชน ลุยฟ้องศาลปกครอง เอาผิดผู้ว่า กกท.-กสทช. ปมถ่ายทอดสด บอลโลก เอื้อประโยชน์แค่ “ค่ายมือถือดัง” ค่ายเดียว แต่ยี่ห้ออื่นต้องจอดำ ยันละเมิดข้อกำหนดกองทุนฯ-กฎหมายชัดแจ้ง

เมื่อวันที่ 28 พ.ย. 2565 ที่ศาลปกครองกลาง ถ.แจ้งวัฒนะ น.ส.กุลธิดา เกิดแก่นแก้ว ทนายความผู้ฟ้องผู้ได้รับมอบอำนาจให้ เป็นผู้แทน นายนพดล วงศ์วิหค ตัวแทนประชาชน เข้ายื่นฟ้องผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย (ผู้ว่า กกท.) การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ รวมทั้งกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ รวมทั้งที่ทำการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ รวมทั้งกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)

โดยขอให้ศาลพิจารณา พิพากษาหรือมีมาตรการคุ้มครองรวมทั้งมีคำขอ บรรเทาทุกข์ชั่วคราวโดยเร่งด่วนเหตุเพราะ กกท.ในฐานะผู้ซื้อรวมทั้งได้รับลิขสิทธิ์การเผยแพร่เสียง เผยแพร่ภาพ การถ่ายทอดสด การแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2022 จากสหพันธ์ ฟุตบอลนานาชาติหรือ FIFA ผ่านบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในค่า 1,300 ล้านบาทโดยเงินจำนวน ครึ่งหนึ่งคือ 600 ล้านบาทมาจากกองทุนค้นคว้ารวมทั้งพัฒนา คณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์รวมทั้งกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ส่วนที่เหลือได้รับการสนับสนุนจากภาคเอกชนต่างๆหนึ่งในนั้นคือบริษัทค่ายมือถือมีชื่อซึ่งสนับสนุน เงินจำนวน 300 ล้านบาทตามที่คณะกรรมการบริหารกองทุนเสนอตามพระราชบัญญัติองค์กร แบ่งสรรคลื่นความถี่รวมทั้งกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์รวมทั้งกิจการโทรคมนาคม พ.ศ 2543 เป็นการแบ่งสรรเงินจากกองทุนให้ ไปซื้อลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกเพื่อประชาชน สามารถรับชมรายการดังกล่าวได้อย่างทั่วถึงรวมถึงส่งเสริมรวมทั้งคุ้มครองสิทธิของคนด้อยโอกาส ให้เข้าถึงรวมทั้งรับทราบใช้ประโยชน์จากรายการดังกล่าวได้อย่างเท่าเทียมกันกับบุคคลทั่วไป โดยไม่เลือกปฏิบัติรวมทั้งยังเป็นภารกิจของ กสทช.ที่ต้องกำกับดูแลให้การถ่ายทอดสดเป็นไปโดยถูกต้องตามกรอบของกฎหมาย

ศาลปกครอง

แต่ผลปรากฏว่า กกท.ทำสัญญาให้สิทธิในการใช้ลิขสิทธิ์ การถ่ายทอดสดเพียงแต่บริษัทเดียว

คือบริษัทที่เป็นค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ ถ่ายทอดสดผ่านระบบ IPTV ระบบอินเตอร์เน็ต รวมทั้งระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่รวมถึงระบบอื่นๆของค่ายมือถือดังกล่าวแต่กลับมีการปิดกั้นช่องทางการเผยแพร่กล่องรับสัญญาณของค่ายมือถืออื่นรวมทั้งระบบอื่นๆซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการขัดกับเจตนารมณ์ของประกาศ Must Have Must Carry ที่ต้องการให้ประชาชนสามารถรับชมได้อย่างทั่วถึงรวมทั้ง ทุกช่องทางซึ่งการหยุดดังกล่าวเป็นการกระทำที่ผิดต่อกฎหมายทั้ง 2 หน่วยงานนับว่าเป็นการไม่มีความเอาใจใส่ต่อการปฏิบัติหน้าที่ในการแบ่งสรรให้ประชาชนได้รับชมอย่างทั่วถึงรวมทั้งไม่เลือกปฏิบัติ

น.ส.กุลธิดา กล่าวเหตุว่า จากข้อมูลเห็นได้ชัดว่ามีประชาชนจำนวนเกือบ 1 ล้านคนที่มีกล่องรับสัญญาณของระบบสัญญาณอินเตอร์เน็ตยี่ห้ออื่น ๆ มากกว่า 1 ล้านคนที่ไม่สามารถรับชมการถ่ายทอดสด บอลโลก ก็เลยทำให้ภาคประชาชนตัดสินใจเข้ายื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลางให้พิจารณาเรื่องดังกล่าวเพื่อลดภาระหน้าที่ให้กับประชาชน ดังนี้ถ้าหากศาล จะมีความเห็นรับฟ้อง รวมทั้งให้สอบปากคำเร่งด่วนในบ่าย วันนี้หรือในวันต่อ ๆ ไปทีมกฎหมายก็พร้อมจะเข้าชี้แจงเรื่องดังกล่าว โดยพยานหลักฐานสำคัญคือข้อกฎหมายตามที่กำหนดไปข้างต้น รวมทั้งข้อกำหนดของกองทุนค้นคว้ารวมทั้งพัฒนาคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์รวมทั้งกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ พร้อมกับได้ตระเตรียมพยานหลักฐานอื่น ๆ ไว้เพื่อต่อสู้ในชั้นสอบปากคำแล้ว เพื่อเรียกร้องความยุติธรรมรวมทั้งความเท่าเทียมกันให้กับประชาชนผู้รับชมทุกคน

ถ่ายสดบอลโลก

บอลโลก จอดำ กับเงิน 300 ล้าน กฎ MUST CARRY ที่ใช้ไม่ได้จริง

ทำไมยังมีการ “จอดำ” เกิดขึ้นในการถ่ายฟุตบอลโลก แม้ว่าจะมีกฎ Must Carry และตาม รวมทั้งทำไมค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ ถึงมีอำนาจในการถือลิขสิทธิ์แต่เพียงคนเดียวทั้ง ๆ ที่ช่วยจ่ายเงินค่าลิขสิทธิ์แค่ 25% เท่านั้น สำนักข่าว TODAY จะอธิบายทุกอย่างให้เข้าใจง่ายที่สุดใน 18 ข้อ

1) ลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลก ในตอนแรกถูกตั้งราคามากถึง 1,600 ล้านบาท แต่ทางการกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) ไปต่อรองกับทุกฝ่ายแล้ว สามารถซื้อจากฟีฟ่าได้ในราคา 1,180 ล้านบาทเท่านั้น

2) ด้วยความที่เป็นเงินก้อนใหญ่ อีกทั้งมีกฎ Must Have (บังคับให้ฟุตบอลโลก ต้องถูกฉายทางฟรีทีวีเท่านั้น) ทำให้พวกกลุ่ม Pay TV ไม่ยอมซื้อลิขสิทธิ์ ด้วยเหตุว่าซื้อมาก็ต้องโดนบังคับให้ฉายลงฟรีทีวีอยู่ดี ไม่สามารถเก็บเงินลูกค้าได้แบบ Exclusive

เมื่อไม่มีใครซื้อสักที กระทั่งบอลจะเตะอยู่แล้ว ทางกกท. ต้องไปขอเงินจาก กสทช. ให้เข้ามาช่วยเหลือ โดยกสทช. อนุมัติงบมา 600 ล้านบาท ทำให้ กกท. ต้องหาเงินอีก 580 ล้านบาทที่เหลือให้ทันก่อนถึงเดดไลน์ วันที่ 20 พฤศจิกายนที่ฟุตบอลโลกเริ่มแข่งวันแรก

3) กกท. พยายามติดต่อไปที่หลายองค์กรเอกชน แต่มีเพียงแต่ 3 องค์กรที่พร้อมจ่ายเงินช่วยเหลือในการร่วมซื้อลิขสิทธิ์ บอลโลก ประกอบด้วย ไทยเบฟ, การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย รวมทั้ง กลุ่มค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ โดยบริษัทที่จ่ายเงินมากที่สุด เป็นจำนวนเงิน 300 ล้านบาท ซึ่งเมื่อได้เงินส่งเสริมจากเอกชน ทำให้กกท. รวมเงินได้ครบ สามารถเอาไปซื้อลิขสิทธิ์บอลโลกได้ทันเวลา

4) แต่สำหรับเงิน 300 ล้านบาท ที่จ่ายเงินช่วยเหลือกกท. ไม่ได้ให้แบบกินเปล่า แต่เป็นเงินก้อนที่แลกกับ การขอสิทธิ์ TV Rights รวมทั้ง IPTV Rights ในประเทศไทย

5) สิทธิ์ TV Rights คือ สามารถนำฟุตบอลโลกมาลงช่องฟรีทีวี ทางช่องได้ ส่วนหนึ่ง รวมทั้งมีสิทธิ์ได้เลือกคู่ก่อนสถานีโทรทัศน์ช่องอื่น ๆรวมถึงสามารถฉายฟุตบอลโลกทั้ง 64 นัด ได้ครบทุกคู่

6) ส่วนสิทธิ์ IPTV Rights อธิบายให้เข้าใจง่ายคือ การดูผ่าน “กล่อง” ที่ดูคอนเทนต์ผ่านอินเตอร์เนต จะสามารถทำได้เฉพาะกล่องของค่ายเท่านั้น นั่นคือ แต่กล่องของค่ายอื่น ๆ ไม่สามารถดูได้ มีความหมายว่า แนวทางแก้ปัญหาของคนที่ใช้กล่องเหล่านี้ก็ต้องไปพบซื้อหนวดกุ้งเพื่อมาจูนสัญญาณรับจากทีวีดิจิทัลปกติเอาเอง

7) ดราม่าเรื่องแรก คือในฟุตบอลโลก 64 นัด ทางค่ายมือถือขอสิทธิ์ถ่ายทอดสดผ่านทางช่องตนเอง มากถึง 32 นัด (50% ของจำนวนคู่ทั้งหมด) แถมยังได้สิทธิ์เลือกนัด ก่อนช่องอื่นอีกต่างหาก

8 ) ทำให้สมาคมทีวีดิจิทัล ที่เป็นการรวมกลุ่มของช่องอื่น แสดงความไม่พอใจ ด้วยเหตุว่าคิดว่าจ่ายเงิน 300 ล้านบาท ซึ่งคิดเป็น 25% เท่านั้น ของเงินทั้งก้อนที่กกท. จ่ายให้ฟีฟ่า เพราะฉะนั้นก็ควรมีสิทธิ์ได้ถ่ายทอดสดแค่ 25% (16 นัด) ไม่ใช่ 50% (32 นัด) อย่างที่ขอมา

9) ฝั่งผู้ช่วยเหลือ ก็โต้โต้แย้งว่า ในเมื่อเป็นคนส่งเสริม 300 ล้านบาท แต่ทีวีช่องอื่นไม่ช่วยจ่ายแต่แรก ได้แต่รอเงินรวมจากกสทช. เพราะฉะนั้นก็ควรมีสิทธิ์ที่จะได้ความ Exclusive ในการถ่ายทอดคราวนี้ ซึ่งทางสมาคมทีวีดิจิทัลก็ตอบโต้ว่า ได้สิทธิ์พิเศษน่ะใช่ แต่ 50% ขนาดนี้มันก็เกินไป

10) นั่นทำให้สมาคมทีวีดิจิทัล ไปแจ้งกสทช. ให้พิจารณา รวมทั้งสุดท้ายหลังการปรึกษาหารือด้วยกัน ทางค่ายมือถือก็ยอม ให้สมาคมทีวีดิจิทัลถ่ายทอดสด 16 คู่ ขนานกันไปได้ โดยแบ่งเป็นรอบแรก 14 นัด, รอบชิงที่สาม 1 นัด รวมทั้ง รอบชิงชนะเลิศ 1 นัด ตัวอย่างเป็นต้นว่า ในรอบชิง ผู้ชมสามารถดูได้ทางช่องทางค่าย หรือ ช่อง 7HD ก็ได้

11) ดราม่าเรื่องแรกเคลียร์ไป มาสู่ดราม่าที่สองนั่นคือ ประเด็นสิทธิ์ IPTV Rights ตามจริงด้วยกฎของกสทช. ที่เคยออกเอาไว้ในปี 2012 ที่ชื่อ “Must Carry” ระบุว่า รายการที่ถูกฉายในฟรีทีวี ต้องดูได้ทุกช่องทาง จะเป็นกล่องอะไรก็แล้วแต่ จะไม่มีการจอดำเด็ดขาด คุณจะใช้กล่องหรือดาวเทียม อะไรก็ตาม แต่ทีวีดิจิทัลพื้นฐาน 20 ช่อง ต้องดูได้ทั้งหมด

12) อย่างไรก็ตาม ค่ายมือถือ ไม่ยอม ด้วยเหตุว่าตนเองเป็นคนจ่ายเงินส่วนหนึ่งซื้อลิขสิทธิ์มา จึงบล็อกกล่อง IPTV อื่น ๆ กระทั่งเป็น “จอดำ” ดูบอลโลกไมได้ ซึ่งเรื่องนี้ ขัดกับกฎ Must Carry ที่กสทช. เคยวางเอาไว้

13) นั่นทำให้ วันที่ 23 พฤศจิกายน อีก2ค่ายมือถือ ที่เหลือ ไปแจ้งกสทช. ว่าทำแบบนี้ไม่ได้ โดยทางกสทช. ก็รับลูก แล้วได้ส่งเอกสารแจ้งไปว่า คุณต้องปฏิบัติตามกฎ Must Carry สิ จะมาทำให้คนอื่นจอดำแบบนี้ไม่ได้

14) ทางค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ ไม่ยอมอีก พวกเขาได้ยื่นฟ้องไปที่ศาลทรัพย์สินทางสติปัญญา ออกคำสั่งไม่ให้ช่องอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ของค่ายมือถือเอง ถ่ายทอดสด บอลโลก ด้วยเหตุว่าเป็นการละเมิดสิทธิ์ ที่เป็นผู้ได้รับสิทธิ์ในการเผยแพร่การแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022 แต่เพียงคนเดียวในประเทศไทย

15) ศาลทรัพย์สินทางสติปัญญา ออกคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวมาใช้ ซึ่งเป็นผู้เสียหายไว้ก่อน และหลังจากนั้นก็ค่อยตัดสินคดีกันทีหลัง นี่เป็นการวินิจฉัยที่เป็นคุณกับฝั่งค่ายมือถือ ด้วยเหตุว่ากว่าศาลจะตัดสินอะไรกันเสร็จ ฟุตบอลโลกก็จบไปแล้ว จัดว่าเข้าทางทุกอย่าง

สถานการณ์ตอนนี้ จอทีวีของกล่อง IPTV

เจ้าต่าง ๆ ก็กลับมาดำอีกครั้ง เท่ากับว่า กฎ Must Carry ไม่สามารถใช้การได้จริงตามทฤษฎี ด้วยเหตุว่ากฎหมายจากศาลทรัพย์สินทางสติปัญญามีพลังมากกว่า

16) สำหรับการขอให้ศาลช่วยทำให้คู่แข่งจอดำ แบ่งความเห็นของประชาชนออกเป็นสองฝ่าย

ฝ่ายแรกนั้นตั้งข้อสงสัยในสิ่งที่เกิดขึ้น ด้วยเหตุว่าออกเงินช่วยซื้อลิขสิทธิ์แค่ 25% แต่ทำไมได้อำนาจมากมายขนาดนี้ ได้เข้าถึงสิทธิ์ทั้งหมดทุกอย่าง (เคเบิล ดาวเทียม IPTV การดูบนมือถือ ดูบนอินเตอร์เน็ต) แถมได้เลือกคู่ทางฟรีทีวีก่อนใครอีกต่างหาก

ในเอกสารของฟีฟ่าระบุว่า องค์กรที่ฟีฟ่าขายสิทธิ์ Broadcasting ให้ คือการกีฬาแห่งประเทศไทย แล้วทำไมทรูถึงอ้างได้ว่า ตนเองเป็น “ผู้ได้รับสิทธิ์ในการเผยแพร่การแข่งขันแต่เพียงคนเดียว” กกท. ไปตกลงกันอย่างไร ทำไมปล่อยให้คนจ่ายเงิน 25% ควบคุมทุกอย่างแบบนี้ มีความโปร่งใสกันใช่หรือไม่
นอกจากนั้นยังวิจารณ์กฎ Must Carry ว่าสุดท้ายจะมีไว้ทำไม ในเมื่อไม่สามารถใช้การจริงได้ ถ้าหากจะได้สิทธิ์ขนาดนั้น กสทช. ที่เป็นองค์กรรัฐ ก็ไม่ควรล้วงกระเป๋าแต่แรก ถ้าเกิดจ่ายเองคนเดียว แล้วจะถือสิทธิ์คนเดียว แบบนั้นก็ว่าไปอย่าง

17) แต่อีกฝ่ายหนึ่งที่ส่งเสริม จะยกเคสโอลิมปิก 2020 มาอ้าง โดยในครั้งนั้นอีกค่ายก็ได้ ซื้อลิขสิทธิ์โอลิมปิกเอาไว้ก็จริง แต่กสทช. ก็เอางบรัฐ 240 ล้านบาท มาช่วยจ่ายให้เช่นเดียวกัน ตอนโอลิมปิกที่โตเกียว กล่องอื่น ๆ เป็นต้นว่าค่ายยักษ์ใหญ่ก็จอดำดูไม่ได้ เพราะฉะนั้นเพื่อเป็นบรรทัดฐานเดียวกัน ตอนนี้ อีกค่าย ก็ต้องจอดำบ้าง

แล้วการจอดำ เอาจริง ๆ ก็เกิดขึ้นเฉพาะ IPTV เท่านั้น ไม่ได้มีการปิดกั้นการดูแบบพื้นฐาน นั่นคือเสาอากาศแบบก้างปลาก็ยังดูได้ คือเอาจริงๆประชาชน ถ้าเกิดพยายามหน่อยก็ยังพอหาวิธีดูได้

นอกจากนั้น ประเด็นเรื่องธุรกิจก็สำคัญเช่นเดียวกัน ด้วยเหตุว่า เป็นคนจ่ายเงิน 300 ล้านบาท แม้ว่าจะเป็นแค่ 25% แต่ก็จัดว่ายังช่วยออก ถ้าเกิดไม่ยอมจ่าย การถ่ายทอดสดฟุตบอลโลกก็คงไม่มีแต่แรกแล้วด้วย ถ้าเกิดช่องอื่นไม่พอใจ ทำไมตอนที่กกท. ต้องการเงินสนับสนุนถึงไม่มาช่วยแต่แรกล่ะ ถ้าเกิดคุณจ่าย คุณก็อาจได้สิทธิพิเศษแบบที่ได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นเมื่อจ่ายเงินไปแล้ว คู่แข่งโดยตรง จะมานอนกินง่าย ๆตามกฎ Must Carry คงยอมไม่ได้

18) บทสรุปของเรื่องนี้ ด้วยคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว มีความหมายว่า คู่แข่ง ก็จะจอดำไปกระทั่งจบทัวร์นาเมนต์ ประชาชนก็ต้องไปแก้ปัญหากันเอาเองถ้าเกิดต้องการดูฟุตบอล จะซื้อกล่อง TrueID TV หรือ ซื้อเสาก้างก็ว่ากันไป

ขณะที่กกท. ก็ถูกเรียกร้องความบริสุทธิ์ใจด้วยการเปิดเปิดเผยสัญญาที่มีกับทรู ว่าทำไมคนจ่ายเงิน 25% มีพาวเวอร์มากขนาดนี้ ตอนที่ระดมทุนแรกสุดได้แจ้งเอกชนรายอื่นหรือ